top of page

สำรวจชุมชนได้รับผลกระทบเขื่อนเมืองโต๋น หวั่นสถานการณ์เผชิญหน้าหนักขึ้น

แนะสร้างประชาธิปไตยก่อนทำโครงการขนาดใหญ่

คาดชาวบ้านนับแสนเดือดร้อน





ภายหลังจากที่ประชาชนชาวรัฐฉานและนักสิทธิมนุษยชนได้ร่วมกันออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านโครงการสร้างเขื่อนเมืองโต๋น หรือที่เดิมรู้จักกันในชื่อเขื่อนท่าซาง ซึ่งตั้งอยู่บนแม่น้ำสาละวินทางภาคใต้ของรัฐฉาน ห่างจากชายแดนที่จังหวัดเชียงใหม่ไปทางเหนือราว 45 กิโลเมตรซึ่งเป็นการร่วมทุนกันระหว่างรัฐบาลพม่า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และบริษัทจากจีน ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา กระทรวงพลังงานของไทยได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยเรื่องพลังงานไฟฟ้า (MOU) ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานพม่า ขอบเขตความร่วมมือที่สำคัญ ได้แก่ พม่าสนใจรับทราบนโยบายด้านการเปิดให้ภาคเอกชนของไทยมีส่วนร่วมในการผลิต ไฟฟ้า รวมถึงการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า(PPA)



ทั้งนี้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาผู้สื่อข่าวพร้อมเครือข่ายนักอนุรักษ์ชาวไทยใหญ่ได้ร่วมกันลงพื้นที่เพื่อสำรวจสถานการณ์และข้อเท็จจริงในพื้นที่เลียบลำน้ำสาละวินและน้ำป๋าง ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อน โดยได้มีการพูดคุยกับชาวบ้านและนักวิชาการกลุ่มต่างๆ


จากการลงสำรวจพื้นที่เมืองกุ๋นฮิง ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากโครงการเขื่อนเมืองโต๋น บนแม่น้ำสาละวิน ในรัฐฉาน พบว่าปัจจุบันยังมีประชาชนอาศัยอยู่กว่าหมื่นคนทั้งริมแม่น้ำสาละวินและริมแม่น้ำป๋าง โดยชาวบ้านเหล่านี้เคยถูกทหารพม่ากวาดต้อนบังคับให้อพยพในช่วง พศ.2540-2542 จาก 11 เมืองในรัฐฉาน โดยในการกวาดล้าง ทหารพม่าได้เข้ามาสั่งให้ชาวบ้านย้ายออกจากหมู่บ้านภายใน 3-7 วัน หากหลังจากนั้นเข้ามาในหมู่บ้านแล้วยังพบใครก็จะทำร้ายร่างการ ทรมาน ข่มขืน หรือสังหาร และทำลายบ้านเรือนและทรัพย์สินจนเสียหาย มีจำนวนประชาชนในรัฐฉานถูกบังคับอพยพในคราวเดียวกันกว่า 300,000 คน ที่แตกกระสานซ่านเซ็นไปอยู่ตามที่ต่างๆ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ 1 หนีไปอาศัยตามแนวชายแดนไทย 2 อพยพเข้าไปอยู่ในแปลงอพยพที่ทหารพม่าสั่งซึ่งตั้งอยู่ใกล้ตัวเมือง 3 หลบซ่อนตัวอยู่ในป่าเป็นผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ (Internally Displaced Persons-IDPs)แต่เมื่อเวลาผ่านไปในช่วง พศ. 2550 เป็นต้นมาสถานการณ์เริ่มคลี่คลายชาวบ้านจึงได้ทยอยพากันกลับมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่เคยถูกทำลาย โดยได้ฟื้นฟูหมู่บ้านเดิม ทำไร่ทำนา บูรณะวัด และสร้างโรงเรียน


เจ้าหน้าที่ทางการชาวไทยใหญ่รายหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้เขตกุ๋นฮิง ชาวบ้านเริ่มกลับมาประมาณ 30% บางส่วนยังทำงานรับจ้างอยู่เมืองไทย ส่งเงินกลับมาสร้างบ้านไว้ในที่ที่เคยเป็นบ้านเดิม สาเหตุที่ยังไม่กลับมาเพราะยังไม่แน่ใจสถานการณ์ ทั้งเรื่องการสู้รบและการสร้างเขื่อน เวลานี้พม่าอาจจะดูเหมือนว่าเข้าสู่กระบวนการสันติภาพ กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นประชาธิปไตย แต่ในความเป็นจริงกลับมีโครงการสร้างเขื่อน จะทำให้น้ำมาท่วมพื้นที่นี้ซึ่งจะเป็นการทำลายทุกอย่าง ทำลายบ้านเรือน เรือกสวนไร่นา ที่ชาวบ้านเคยสูญเสียไปและกำลังเริ่มกลับมาฟื้นฟู



สำหรับสถานการณ์ด้านความมั่นคงนั้น นายทหารระดับคุมกองกำลังชาวไทยใหญ่รายหนึ่งกล่าวว่า พื้นที่เขื่อนเมืองโต๋นและพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะในเขตที่จะกลายเป็นอ่างเก็บน้ำของเขื่อน ยังคงไม่สงบแต่มีการสู้รบอยู่เป็นระยะ ช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาก็มีการปะทะระหว่างกองกำลังรัฐฉาน SSA และทหารพม่า ที่นอกเมืองก๋าลี่ ในเขตกุ๋นฮิง


“รัฐฉานมีความอุดมสมบูรณ์ ใครๆ ก็อยากมาลงทุน หากเข้ามาเมื่อเราพร้อม เราได้ร่วมตัดสินใจ ลงทุนแล้วชาวบ้านมีความเป็นอยู่ดีขึ้นก็คงจะน่ายินดี แต่นี่เข้ามาลงทุนมาสร้างเขื่อน จะยิ่งทำให้ชาวบ้านลำบาก สูญเสียบ้านเรือน เสียที่นา ที่ทำกิน สูญเสียแผ่นดิน ประชาชนในรัฐฉาน เคยเจ็บปวดเคยสูญเสียกันมาแล้วกว่า 3 แสนคน ทั้งหมดนี้สิ่งที่ทหารพม่าทำไว้ ยังไม่ได้รับการแก้ไขเยียวยา และประชาชนจำนวนมากก็ยังไม่ได้คืนสู่บ้านของตนเอง ยังไม่ได้รับความยุติธรรม แต่กลับจะมีเขื่อนมาสร้างกั้นชีวิตชาวไทยใหญ่อีก แล้วพี่น้องเราที่ยังอยู่เมืองไทยจะได้กลับมาอยู่บ้านได้อย่างไร”นายทหารรายนี้ กล่าว

นายทหารรายนี้กล่าวว่า การเป็นประชาธิปไตยในพม่า เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ เพื่อให้ประชาชนในรัฐฉานได้มีสิทธิในแผ่นดินของตน แต่ที่เกิดขึ้นอยู่นี้คือ ทุกๆ ประเทศ นักลงทุนบริษัทต่างๆ ล้วนแต่เข้ามาเอาประโยชน์ ไม่มีใครสนใจช่วยส่งเสริมให้เกิดสันติภาพและประชาธิปไตยเสียก่อน ทำให้เกิดสถานการณ์การเผชิญหน้ายิ่งขึ้น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศการเตรียมการเลือกตั้งในรัฐฉาน ที่รัฐบาลพม่าเตรียมจัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นในช่วงปลายปีนี้ มีพรรคการเมืองไทยใหญ่ลงสมัคร 2 พรรคหลัก ได้แก่พรรคพรรคเสือเผือก หรือ พรรคประชาธิปไตยแห่งชาติไทใหญ่ (Shan Nationalities Democratic Party – SNDP) และพรรคหัวเสือ หรือ พรรคสันนิบาตแห่งชาติไทใหญ่เพื่อประชาธิปไตย (Shan Nationalities League for Democracy -SNLD) ภายใต้การนำของขุนทุนอู ได้มีการรณรงค์หาเสียงตามเมืองต่างๆ ในรัฐฉาน แต่หลายคนยังมองว่าการเลือกตั้งนี้ยังไม่ใช่ความหวังในการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากรัฐบาลพม่ายังใช้วิธีการต่างๆ ให้พรรคของทหารพม่าได้รับคะแนนสูงสุด เช่น ให้ผู้ที่ยังไม่มีบัตรประชาชนมาทำบัตรประชาชนพร้อมกับสมัครเป็นสมาชิกพรรคของรัฐบาลทหาร เป็นต้น และเป็นที่สังเกตว่าการลงนามการลงทุนในโครงการต่างๆ ในพม่ากำลังเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไป


โครงการเขื่อนท่าซาง จะสร้างกั้นแม่น้ำสาละวินในรัฐฉานตอนใต้ มีกำลังผลิตติดตั้ง 7,000 เมกกะวัตต์ โดยไฟฟ้า 90% กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาส่งขายไทยหรือจีน มีมูลค่าโครงการสูงถึง 14,450 ล้านเหรียญสหรัฐ (447,950 ล้านบาท)



Comments


bottom of page